เดี่ยวการเดินทาง 4
เณร อยู่นาน....เขียน
เติมพลังด้วยข้าวไก่อบสมุนไพรเพียงครึ่งจาน สำหรับผมเป็นการเพียงพอ จากนั้นก็ออกจากร้านข้ามไปอีกฟากหนึ่งของถนน เห็นคนไม่หนาแน่น การเดินชมนกชมไม้น่าจะสะดวกขึ้น ไม่ต้องเกรงว่าจะชนกับใคร
การเดินเล่นบนถนนสีลมยามใกล้ค่ำ ดูแล้วมีสีสันไม่น้อย อย่างน้อยก็พอเก็บเอามาทบทวนความทรงจำเก่า ๆ สมัยที่ผมยังทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทฝรั่งแถวสาธร สมัยนั้นการเดินจากหน้าโรงแรมดุสิตธานี ไปวัดแขก แล้วเลี้ยวซ้ายออกถนนสาธรเหนือ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยสำหรับผม
แต่ในยามที่อายุกำลังพุ่งเข้าหลัก 75 อีกไม่กี่เดือน ผมชักไม่แน่ใจว่าจะสามารถเดินไปถึงท่าเรือโอเรียลเต็ล ถนนเจริญกรุง เพื่อขึ้นเรือด่วนไปท่าเตียนได้หรือไม่
เวลาผ่านไปเท่าไร ผมไม่ได้ใส่ใจ ก้าวเท้าเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อนคู่กายคือไม้เท้าในมือคอยทำหน้าที่พยุงไม่ให้ล้ม แกว่งไปตามจังหวะก้าวเท้า แสงตะวันที่ทาบบนยอดตึกอ่อนล้าลงไปทุกที นั่นหมายถึงความตั้งใจจะไปให้ทันอาทิตย์ตกหลังเจดีย์วัดอรุณ เริ่มเลือนรางออกไปด้วย คิดในใจว่าถ้าไม่ทันก็ค่อยหาโอกาสใหม่ แต่อย่างน้อย ให้ทันภาพเจดีย์สีทองอร่ามในตอนค่ำคืน ก็ไม่เสียแรงเปล่า
ผ่านห้างเซ็นทรัลสีลมเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นห้างบิ๊กซีหรือท้อป ไม่แน่ใจ ผมแวะเข้าไปใช้บริการห้องน้ำ ออกมา เห็นร้านขายยา จึงเข้าไปซื้อเคาว์เตอร์เพนหลอดเล็กออกมานั่งนวดข้อเท้าบนเก้าอี้ว่างหน้าร้านขายเครื่องดื่ม เป็นการพักยก
ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อมองออกไปข้างนอก เห็นแสงสุดท้ายอาทิตย์แม้จะลดความเจิดจ้าลงบ้าง จึงลุกขึ้น เดินออกมานอกอาคาร เร่งฝีเท้าต่อ สักพักหนึ่งผมก็ออกมายืนอยู่บนฟุตบาทถนนเจริญกรุง เลี้ยวขวาไปไม่ไกล เห็นโรงเรียนอัสสัมชันสูงทมึนอยู่บนฝั่งซ้ายของถนน ทำให้ความหวังฟูขึ้นมา
เดิมโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในซอยหรือที่เราเรียกกันตรอกโอเรียลเต็ล แต่ปัจจุบันกินพื้นที่มาจนจรดถนนเจริญกรุงด้านอก ผมข้ามถนนแล้วเดินเข้าซอยข้างโรงเรียน ลึกเข้าไปประมาณ 300 เมตรก็ถึงท่าเรือที่จะลงเรือข้ามไปท่าเตียน
นั่งรออยู่บนโป๊ะท่าเรือไม่นาน เรือด่วนท่าน้ำนนทบุรี วัดราชสิงขรเข้าเทียบ ผมกระโดดขึ้นไปยืนท้ายเรือราวกับวัยรุ่น เกาะราวเหล็กยืนดูผู้โดยสารอื่นที่มีทั้งขึ้นทั้งลง ตั้งใจว่าจะยืนชมวิวถ่ายภาพอยู่ท้ายเรือน่าจะดีกว่าเข้าไปนั่งข้างใน
เรือออกจากท่าโอเรียนเต็ล แวะท่าสี่พระยา กรมเจ้าท่า ราชวงศ์ ปากคลอง และอีก 23 ท่าที่ผมจำไม่ได้ ใช้เวลาไม่นานนัก ในที่สุดก็เข้าเทียบท่าเตียนอันเป็นท่าปลายทางที่ตั้งใจเอาไว้
ผมก้าวขึ้นจากเรือด้วยความโล่งอก หันมองไปทางเจดีย์ ลำแสงอาทิตย์ที่สาดส่องทาบก้อนเมฆด้านหลังเจดีย์ เริ่มเป็นสีทอง ซึ่งหมายถึงว่าอีกไม่นานเกินรอจะกลายเป็นสีส้มเพื่อเป็นฉากหลังให้ตัวเจดีย์โดดเด่นขึ้น
จากโป๊ะเทียบเรือเดินไปตามสะพานไม้คร่ำคร่าที่แกว่งไปตามแรงคลื่น ทอดยาวไปสู่ฝั่ง มองขึ้นไปเห็นห้องแถวไม้เก่า ๆ ชั้นล่างมีป้ายบอกว่าเป็นร้านอาหาร แต่ไม่เห็นโต๊ะวางไว้เหมือนร้านอาหารทั่วไป ชั้นบนมีฝรั่งนั่งกันอยู่ 2-3 คน คิดในใจว่าร้านอาหารน่าจะเปิดบริการอยู่ชั้นบน เพราะเป็นตำแหน่งที่เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำกับเจดีย์
ผมเข้าไปในร้าน ถามหญิงวัยกลางคนผอมเกร็ง ที่นั่งอยู่หลังเคาวน์เตอร์ เธอบอกว่า เธอเปิดบริการอยู่ชั้นบน ผมจึงเดินลึกเข้าไปในร้าน ขึ้นบันไดไปข้างบน พลันกลิ่นอับชื้นในร้านผสมกับกลิ่นห้องน้ำ ที่น่าจะไม่ได้รับการเอาใจมาแรมปี โชยเข้าจมูกฉุนกึก
ทว่าพอถึงชั้นบนได้สัมผัสกับลมเย็นจากแม่เจ้าพระยา จึงทำให้สดชื่นขึ้นบ้าง
ในระหว่างที่รอม่านฟ้าหลังของเจดีย์เป็นสีส้ม ผมสั่งเบียร์เย็น ๆ มาเป็นรางวัลให้กับตัวเองขวดหนึ่ง ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาจนถึงที่ ๆ ต้องการ และทันเวลาดี ๆ ช่วงสุดท้ายของชีวิต
หลังจากจิบเบียร์เย็นครึ่งแก้ว ผมหยิบกล้องคู่ชีวิตออกมาตั้งโปรแกรมตามต้องการ แล้วลั่นชัตเตอร์ โดยมีหน้ากล้องจับอยู่ที่เจดีย์วัดอรุณอมรินทร์ เกือบ10 ภาพ ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามสูตรของคนมือใหม่ป้องกันความผิดพลาด และเพื่อจะได้คัดเลือกภาพที่ดีที่สุด
นั่งดูอาทิตย์ลับฟ้าอยู่ที่ร้านอาหาร จนฟ้าทีทองลับหายไป มีม่านมืดสีดำเข้ามาแทน ทีละน้อยพร้อม ๆ กับที่เจดีย์เริ่มกลายเป็นสีทองอร่ามขึ้นมาจากแสงไฟรอบเจดีย์สาดส่อง
ผมตัดสินใจหามุมมองใหม่เพื่อถ่ายภาพอันงดงามไว้ดูเล่น ด้วยการลงมาจากชั้นบน แล้วเดินออกมาที่ปากซอย สอบถามคนแถวนั้นถึงอีกสถานที่หนึ่งคือ Sala Arun ทราบว่าเป็นห้องพักเล็ก ๆ ที่นำเอาห้องแถวเก่าแก่ มาดัดแปลง เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ชมแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนของคนรักธรรมชาติ
ได้รับคำแนะนำว่าอยู่ถัดไปอีกซอยหนึ่ง จึงเดินต่อ เห็นไฟสีส้มสว่างไสวอยู่ก้นซอย จึงเดินแกว่งไม่เท้าเข้าไป หน้าร้านตบแต่งดูโรแมนติคดี ผมจึงผลักประตูกระจกเข้าไป ถามเด็กหน้าตาน่าเอ็ดดูที่นั่งอยู่หลังเคาวน์เตอร์ ว่าที่นี่มีมุมถ่ายภาพสวย ๆ ไหม? เด็กบอกว่าถ้าจะถ่ายภาพให้สวย ให้เลยไปอีกซอยชื่อ Arun Resident
ผมจึงกล่าวขอบคุณ แต่เด็กก็ยังมีน้ำใจส่งรายการค่าห้องพักให้ติดมือมาชุดหนึ่ง ผมพลิกดูราคาค่าห้องพักท่ามกลางแสงไฟสลัว ๆ ริมทางเดิน มีชื่อห้องเรียกเพราะพริ้งน่านอน เช่น Ayudhya,Chiangsan, Krungthep,Lanna Srivichai,Sukhothai,Sala Suite ห้องพักเตียงคู่ทั้งหมด ห้องสุดท้าย 5600 นอกนั้น 3500
ที่ Arun Resident น่าจะมีห้องพักเช่นกัน แต่ผมไม่ถาม คิดเอาว่าไม่น่าจะต่างกับ Sala Arun สักเท่าไร เพราะเจ้าของคนเดียวกัน ร้านแต่งสไตล์เดียวกัน ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร คนแน่ ผมขึ้นไปชั้น 2 คนแน่นอีกเช่นกัน เลยขึ้นบันไดเวียนไปชั้นบนสุด ชื่อ The Deck เห็นทิวทัศน์แม่น้ำเจ้าพระยาและเจดีย์ตอนกลางคืนเป็นสีทองอร่ามราวกับฉาบด้วยทองคำ
ชั้นนี้มีลูกค้าทั้งไทยและเทศ แต่ก็พอมีที่ว่างสำหรับผม ผมเลือกเอาที่เหมาะเพื่อจะได้จับภาพสีทองของเจดีย์ ที่ด้านหลังทาบทะมึนด้วยความมืด ด้านหน้าสีทองแพรวพราวระยิบบนผิวน้ำ นาน ๆ จึงจะมีเรือท่องเที่ยวบรรทุกผู้โดยสารเต็มลำแล่นช้า ๆ ผ่านมา เสริมให้ดูงดงามยิ่งขึ้น ผมเก็บภาพไว้มากพอสมควร นั่งปล่อยอารมณ์ชมระลอกคลื่นล้อเล่นแสงไฟอยู่นาน จนคนในร้านบางตา จึงเช็คบิลแล้วกลับออกมาเกือบจะเป็นรายสุดท้าย
คืนนั้นผมจิบไวน์ไป 2 แก้ว ในราคาเท่ากับที่ผมซื้อเอง 1 ขวด แกล้มด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เพื่อกันบ๋อยไล่ออกจากร้าน
หลังจากทุกอย่างบรรลุเป้าหมาย ผมจึงออกมานอกถนนใหญ่ คิดในใจว่ากรุงเทพยามราตรีมีมนต์เสน่ห์กว่ากลางวันอย่างเทียบกันไม่ติด หากฟ้าดินไม่ใจดำจนเกินไปโอกาสหน้าคงได้ย้อนกลับมานอนคืนละ 3500 หรือ 6500 สักครั้ง ก่อนจะสิ้นเสียงระฆังยกสุดท้ายของชีวิต