เดี่ยวการเดินทาง 1
โดย เณร อยู่นาน
ข้อเขียนที่ท่านผู้อ่านของผมจะได้อ่านต่อไปนี้ จะเป็นข้อเขียนที่จัดเข้าอยู่ในหมู่ข้อเขียนทางวิชาการโหราศาสตร์หรือไม่ ผมไม่แน่ใจนัก พยายามเข้าข้างตัวเองและเข้าข้างคนอ่านแบบครึ่งต่อครึ่งแล้ว ก็ยังลังเล ตัดสินใจไม่ได้เด็ดขาด
จึงเพื่อให้หมดปัญหาในประเด็นเป็นหลักวิชาการทางโหร หรือเป็นเรื่องอ่านเล่นประโลมโลกย์ ผมจึงตัดสินใจวัดดวงตัวเอง ด้วยการส่งมาให้โหราเวสม์พิจารณา ถ้าโหราเวสม์อันเป็นนิตยสารทางโหราศาสตร์ลงให้ ก็ถือว่ามีส่วนเป็นบทความทางโหราศาสตร์บ้างถึงแม้ไม่หมดทั้งดุ้น แต่ถ้าไม่ได้รับการพิจารณาลงพิมพ์ ก็ฟันธงยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องนอกเรื่องหรือนอกไลน์ ควรจะไปหาที่ลงที่อื่น
อันที่จริงเรื่องการเดินทาง ในวิชาการโหราศาสตร์เขามีข้อจำกัดไว้ว่า ถ้าพระอาทิตย์ ๑ จรมาทับลัคนา หรือเล็งลัคนาเมื่อใด เมื่อนั้นจะมีการเดินทางเกิดขึ้น อย่างในขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ พระอาทิตย์ ๑ โคจรเข้าราศีเมษซึ่งเป็นราศีธาตุไฟชั้นหนึ่งเกือบกลางราศี
ดังนั้นคนราศีเมษ กับคนราศีตุลย์ ไม่ว่าหญิงหรือชาย ที่ถูกอาทิตย์ ๑ ทับและเล็งจะต้องมีการเดินทางไกลบ้างใกล้บ้างในระหว่างนี้แน่นอน คนราศีอื่นก็มีบ้างแต่ไม่เท่าคน 2 ราศีดังกล่าว ยิ่งถ้าเป็นอาทิตย์ ๑ เป็นกาลีจรทางทักษา ยิ่งจะมีแรงกระตุ้นต่อมความร้อนที่อยู่ได้มากขึ้น
ในมุมมองอีกมุมหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่มุมมองเดียวกับคนที่เรียนโหราศาสตร์ การเดินทางก็คือการเดินทาง คือการต้องออกจากบ้านที่เคยอยู่ชั่วคราวไปที่อื่น บางรายรับแรงเอื้อมจากอาทิตย์ ๑ ไม่แรง ก็แค่อยู่ไม่ติดบ้าน ชอบไปโน่นไปนี่ ไปดูหนังฟังเพลง ช้อบปิ้ง แล้วกลับบ้าน เช้าขึ้นมาก็หาเรื่องหรือหาเหตุออกจากบ้านใหม่จนไม่มีที่จะไปหรือเงินในกระเป๋าหมดจึงหยุด
ผมจึงมองว่าการเดินทางมีความแตกต่างหลากหลายเหลือคณานับ เช่นไปเยี่ยมญาติ ไปทวงหนี้ เดินทางกลับบ้านไปรับมรดก หรือเดินทางไปรับตำแหน่งงาน แบบนี้ถือว่าไปดี ถ้าตำแหน่งงานนั้นเป็นตำแหน่งที่ดีกว่าตำแหน่งเดิม การเดินทางแบบนี้พฤหัสบดี ๕จร ต้องดีด้วย
ถ้าแย่กว่าเดิม เช่นเดินทางไปรับตำแหน่ง 3 จังหวัดภาคใต้ ถึงตำแหน่งดีกว่าเดิม แต่เสี่ยงตายสูง อาจไปชนกับระเบิดตายก็เป็นได้ หรือไปในที่ ๆ เราไม่ต้องการไป ถือว่าเป็นการเดินทางไปไม่ดี การเดินทางเช่นนี้โดยมาก พฤหัสบดี ๕ จรไม่ดีกับลัคนา หรือเป็นกาลีจร หรือมีเสาร์ ๗ หรือราหู ๘ จรมาทับลัคน์เล็งลัคน์
การเดินทางอีกประเภทหนึ่ง คือไปเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ไม่ค่อยมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน เรียกว่าค่ำไหนนอนนั่น นึกอยากจะอยู่ ๆ นึกอยากจะไป ๆ ที่ไหนชอบอยู่นานหน่อย ไม่ชอบก็อยู่สั้นหน่อย การเดินทางลักษณะนี้คล้ายการท่องเที่ยว ต่างกันอยู่นิดหนึ่ง ที่ถ้าเป็นการท่องเที่ยวจริง เขาจะไปที่ ๆ เขาชอบและอยากจะไป ทั้งยังวางโปรแกรมไว้แน่นอน จองตั๋วเดินทางจองที่พักไว้เรียบร้อย
แต่การเดินทางของคนที่มีลัคนาสถิตราศีเมษ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 18 เมษายนที่ผ่าน ถ้าจะจัดเข้ากลุ่มเดินทาง น่าจะอยู่ในกลุ่มร่อนเร่พเนจรได้ทีเดียว
คือเริ่มที่สะพายเป้เล็ก ๆ บนบ่า ซึ่งมีเสื้อยืดดำ 2 ตัว กางเกงขาสั้น 3 ตัวสนับสรวมข้อเท้ากันปวดข้อ 1 คู่ ผ้าขาวม้า 1 ไม้เท้า 1 กล้องถ่ายรูป 1 มีดเดินป่า 1 หมวกกันแดด 1 ขวดน้ำเสียบข้างเป้อีก 1 ที่สำคัญคือ ไดอารี่โหรปี 2554 ของ อ. ทองเจืออ่างแก้ว 1 เล่มพร้อมเงินติดตัวอีกเล็กน้อย
นอกจากนั้นเป็นถุงยังชีพที่สำคัญ ไปไหนขาดไม่ได้ และปกติก็วางไว้หัวนอน คือยาประมาณว่า 10 ขนาน อาทิเช่นยาแก้ปวดแก้ไข้ ยาลดยูริด ลดความดัน ควบคุมไขมันในเส้นเลือด ละลายลิ่มเลือดในหัวใจ ยาแก้ท้องเสีย ยาหม่อง เคาน์เต้อร์เพน ยาแก้ปวดหลังชนิดสเปรย์ เบตาดีน รักษาแผลสด และสุดท้ายแก้เก๊าอักเสบรุนแรง
ก่อนออกเดินทางตอนเช้าผมพลิกดูดาวจรประจำวัน เห็นอาทิตย์ ๑ จรอยู่ในราศีเมษ 4 องศา จันทร์ ๒ จรเข้าราศีตุลย์ ประมาณ 3 องศา จึงแน่ใจว่าการเดินทางเที่ยวนี้ เป็นการเดินทางที่ไม่น่าจะมีเหตุร้ายอะไร สมควรแก่การจะมีโชคลาภประการเดียว
แต่ความราบรื่นทั้งปวงมลายหายสิ้นเมื่อเวลา 08.28 น.คือก่อนหน้านั้นผมได้เรียกแท้กซี่ให้ไปส่งสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ พอไปได้สักพัก พระจันทร์ ๒ จรแบบ10ลัคนา จรเข้าราศีพิจิกเรือนมรณะกับราศีเมษ อันเป็นที่สถิตตัวตนของผม
ทำให้บนถนนที่รถผมต้องผ่าน มีรถของใครต่อใครไม่รู้ หลากสี เก่าบ้าง ใหม่บ้าง แออัดยัดเยียดอยู่บนถนนเต็มไปหมด กะดูด้วยตารถที่มีราคาต่ำกว่า 1 ล้านลงมามากหน่อย ที่ 2-3 ล้านขึ้นไปไม่ค่อยมาก ทำให้ผมมีไอเดียร์วูบหนึ่งขึ้นมาว่า การแก้การติดขัดการจราจรบนถนนไม่ใช่เป็นของยากอีกต่อไป
คือใครซื้อรถมาจะใหม่หรือเก่าราคาเท่าไรไม่สน เวลาไปตีทะเบียนหรือโอน ให้เสียภาษีเท่าราคาซื้อมา เท่านี้รถก็จะลดจำนวนลงไปโดยอัตโนมัติ ครับ นี่คือความคิดที่ไม่ห้ามการลอกเลียนแบบ กระทรวงคมนาคมหรือกรมการขนส่งเอาไปใช้ได้เลย
เป็นอันว่าวันนั้นการเดินทางจากบ้านร่มเกล้าไปขนส่งสายใต้ใหม่ ใช้เวลาเท่ากับไปเพชรบุรี ค่าแท้กซี่เกือบเท่ากับรถ วีไอพี. ไปชุมพร คือเกือบ 400 บาท
เมื่อไปถึงขนส่งใหม่ผมยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปไหน ระหว่างประจวบฯกับชุมพร จึงเดินลากเป้ไปเรื่อย ๆ ดูรายการรถออก พอดีไปพบโชคอนันท์ทัวร์ เป็นรถวีไอพี.ไปชุมพร 400 บาทจึงตัดสินใจซื้อตั๋ว พอซื้อตั๋วเสร็จท้องหิว จึงแวะร้านขายข้าวแกงปักษ์ใต้ กินข้าวแกงไปจานหนึ่ง แล้วออกเดินวนไปวนมาในชานชลา เพื่อหาที่นั่งพักขาเหมาะ ๆ
พอดีมองเห็นที่นั่งว่างที่หนึ่ง จึงเข้าไปนั่ง ถัดจากเก้าอี้ตัวที่ผมนั่งมีโต๊ะเล็ก ๆ ขวางอยู่ อีกฝั่งมีหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่คนหนึ่ง กะว่าวัย 60 กว่า เธอทักผมก่อนอย่างคนมีน้ำใจ ว่า... สวัสดีค่ะ จะดูดวงหรือลายมือคะ... เอาล่ะซิ เจอตอเข้าแล้ว ผมนึกในใจ จะลุกขึ้นย้ายที่นั่งไปที่อื่นก็กลัวเสียศักดิ์ศรี จะหาว่าคนน่ารักอย่างผมไม่มีค่าครู ครั้นจะดูก็ไม่รู้จะดูกันไปทำไม เพราะดูตัวเองอยู่ทุกวันจนแทบจะรู้ทุกรูขุมขนอยู่แล้ว จึงยิ้มกับเธอแล้วบอกว่าขอดูลายมือก็แล้วกันราคาถูกดี แค่ 49 บาท ทายผิดก็ไม่เสียดายเงิน ครับวรรคท้ายนี้ผมแค่คิด ไม่ได้พูดออกไป กลัวจะเป็นเรื่อง
ผมจึงแบบมือซ้ายแล้วยื่นให้เธอดู เริ่มต้นกันที่เส้นวาสนา เธอว่าดีอย่างโน้นอย่างนี้ล้วนหรู ๆ ฟังแล้วเคลิ้มไปเหมือนกัน ดูเธอก็น่าจะเป็นมือชั้นเซียนคนหนึ่ง คือทายให้ถูกใจไว้ก่อน ส่วนถูกเรื่องหรือไม่เอาไว้ทีหลัง ผมได้แต่ยิ้ม ๆ พยักหน้ารับ คิดว่าจะผิดหรือถูกก็เป็นคำพูดที่เป็นมงคลประจำวันนั้น เธอพูดอยู่เส้นเดียววนไปวนมา ไม่ย้ายไปเส้นอื่น คิดในใจว่าราคา 49 บาท ที่ขึ้นป้ายไว้น่าจะคิดเป็นรายเส้น คือถ้าดู 2 เส้นก็ 98 บาท 3 เส้น 147 บาท 4 เส้นก็ 196 บาท ดู 10 เส้นก็ 490 บาท
ทำให้ผมได้ความคิดใหม่ว่า กลับบ้านไปจะทำบ้าง คือใครจะมาดูดวงกับผม จะคิดค่าดูเป็นรายราศีหรือเรือนละ 100 บาท 12 ราศีหรือ 12 เรือนชะตา 1200 เรือนทักษาอีก 8 เรือน 800 รวม 2000 พอดี นี่ยังไม่รวมค่าทายจรอีกดาวละ 100 เบ็ดเสร็จ 3000 บาท ถ้าทำได้แบบนี้ไม่รวยเละก็ให้มันรู้เรื่องไป
หลังจากนั่งให้เธอทายไปสักพักพอหายเมื่อยขา ผมลุกขึ้นล้วงกระเป๋าหยิบเงินใบละ 100 ส่งให้ เธอส่งให้เพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้กันและให้ทอนผม ผมจึงบอกว่าไม่เป็นไรหรอกครับ ผมยกให้ทั้งหมด เพราะผมก็เป็นโหรเหมือนกัน ต้องมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมอาชีพ เธอกล่าวขอบคุณผม ผมจึงถือไม้เท้าอันโปรดเขยกต่อไป เพื่อรอเวลารถออก นึกในใจว่าดีนะที่เธอไม่ยกยอปอปั้นว่าถ้าผมลงเลือกตั้งเที่ยวนี้จะได้เป็นนายกแทนท่านอภิสิทธ์
วันนั้นเป็นอันว่าผมจับรถ กรุงเทพฯ-ชุมพร เที่ยว10.30 น.ถ้าผมจำไม่ผิด ไปถึงชุมพรเกือบจะ 6 โมงเย็น เร็วหรือช้าผมไม่ทราบ เพราะไม่ได้ไปชุมพรมาเกือบ 10 ปีเศษ เมื่อลงจากรถทัวร์ จึงจับรถมอไซค์รับจ้างให้ไปส่งโรงแรมที่ดีที่สุดถูกที่สุดของชุมพรและต้องใกล้ท่าเรือที่จะไปท่ายาง เพื่อขึ้นเรือลมพระยาไปเกาะสมุย คือเรือจะผ่านเกาะนางยวน เกาะเต่า เกาะพะงัน เกาะสมุย ดอนสักตามลำดับ ผมหมายตาไว้ว่าจะไปฝึกถ่ายภาพที่นั่น จะได้เป็นช่างภาพมือดีตอนแก่กับเขาสักคน
ในที่สุดผมก็ได้โรงแรมที่ต้องการ คือโรงแรมท่ายางริมแม่น้ำชุมพร ค่าที่พัก 250 บาทต่อคืน เป็นห้องแอร์ เสียอย่างเดียวไม่มีห้องกาแฟและห้องอาหาร ต้องไปหากินร้านอาหารข้างนอก ซึ่งมีอยู่ร้านหนึ่งที่ดูดี แต่ห่างจากโรงแรมไปสัก 1 กิโล ไม่มีรถประจำทาง ต้องเดินไปเอง เดินกลางคืนค่ำมืดในที่ ๆ ไม่เคยไปแถมค่อนข้างเปลี่ยว ไฟริมถนนก็ไม่มี ฝนกำลังตกพรำ นาน ๆจะมีรถผ่านมาสักคัน
ผมคิดระหว่างยอมเสี่ยงไปตายดาบหน้า ไปร้านอาหาร กับเอาน้ำลูบท้องแทนมื้อเย็น อย่างไหนจะดีกว่ากัน
คนเฝ้าโรงแรมเห็นผมมีสีหน้าลังเลจึงอาสาขับมอไซค์ไปส่ง จึงรอดจากอดข้าวไปหวุดหวิด เขาส่งผมที่ร้าน
อาหารแล้วกลับโรงแรม โดยให้เบอร์โทรเอาไว้ว่าจะกลับให้โทรเรียกเขาจะมารับ ดูเขาเป็นห่วงเป็นใยผมค่อนข้างดี
ก็ไม่ดูแลอย่างดีได้ไง เพราะคืนนั้นแขกผู้มีเกียรติของโรงแรม มีผมคนเดียว ห้องทุกห้องมืดมิดราวกับนอนในป่าช้า ทำเอาผมต้องนอนเผาบุหรี่มวนแล้วมวนเล่าจนหลับ
เป็นอันว่าอาหารมื้อค่ำวันนั้น ผมตะกละกินคนเดียวมีเบียร์เย็นปลอบใจ 1 ขวด รวมแล้ว 400 บาท พออิ่มจึงเรียกเด็กมาถามว่าใครขับมอไซค์ได้ จะให้ไปส่งที่โรงแรม โชคดีได้บ๋อยร้านอาหารไปส่ง ผมเลยให้ค่าทิปไป 40 บาท เกรงใจคนเฝ้าโรงแรมจึงหาทางกลับเอง รับรองคืนนั้นถ้าผมได้เบียร์ปลอบใจสัก 3-4 ขวด บ๋อยร้านอาหารคงไม่ได้เงินผมหรอก
ในตอนช้ามืดมีรถกระบะมารับเพื่อไปดักขึ้นรถวีไอพี.ของลมพระยาทัวร์ที่ออกจากกรุงเทพฯ ในตัวเมืองชุมพร เพื่อไปขึ้นเรืออีกทอดหนึ่ง ปกติเขาจะไปส่งที่ท่าเรือ
เลย แต่วันนั้นแขกโรงแรมมีผมคนเดียวไม่คุ้มค่าน้ำมัน ค่าเรือไปเกาะพะงัน 1200 หรือ 1500 ผมจำได้ไม่แน่นักเพราะโรงแรมเก็บรวมกับค่าที่พัก ให้ผมเอาบิลไปขึ้นตั๋วเรือที่ท่าเรือ
ที่ท่าเรือลมพระยาวันนั้นน้ำลด เห็นสันดอนทรายทอดยาวสุดสายตา เรือจอดอยู่ไกลลิบ ต้องเดินไต่สะพานไม้เก่าแก่แกว่งไปมาเกือบกิโล กว่าจะถึงเรือ ทำให้ผมรู้สึกพากพูมใจอย่างยิ่งกับวัยใกล้ฝั่งพร้อมด้วยน้ำหนักเกือบ 30 กิโลบนหลัง ที่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยไม่ต้องหยุดพักใช้ยาลมเป็นตัวช่วย แม้จะถูกหนุ่ม ๆ ฝรั่งแซงไปหลายคนก็ตาม
ผมขึ้นเรือเอาของไปกองรวมกับของผู้โดยสารคนอื่น ๆ ซึ่งกองสูงเกือบท่วมหัว กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ที่นั่งเต็มเกือบหมด โชคดีข้างทางเดินมีที่ว่างอยู่ที่หนึ่ง มีสุภาพสตรีวัยรุ่นนั่งอยู่ชิดด้านใน ผมจึงหย่อนลงนั่งข้างเธอ คิดว่าเธอน่าจะเป็นคนต่างชาติ แต่ไม่รู้ว่าชาติไหน น่าจะเป็นฮ่องกง เกาหลี แต่ชั่งเถอะถึงยังไงก็คงพูดกับผมไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว
จากท่าเรือชุมพร ผมนั่งอยู่ในห้องโดยสารแอร์พักหนึ่งจึงเดินออกมาข้านอก ขึ้นบันใดไปชั้นดาดฟ้าเพื่อรับลมทะเลชมทิวทัศน์และอาบแดดผสมปนเปไปกับวัยรุ่นฝรั่ง ทั้งนี้เพื่อจะได้สัมผัสความเป็นจริง ให้สมกับที่ตัดสินใจเดินทางแบบแบคแพ้คต้นฉบับชาวถนนข้าวสารที่แท้จริง ซึ่งในเที่ยวที่มีผมคนหัวขาวอยู่ มีแต่ฝรั่งหัวแดงเกือบจะ 95%
การเดินทางร่วมกับพวกฝรั่งต่างชาติ ที่จริงมันก็ดีไปอย่าง ต่างคนต่างอยู่ไม่มีใครมาชวนคุย รวมทั้งไม่ต้องไปชวนเขาคุย เพราะต่างมีภาษาเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ฟังเขาพูดก็ไม่รู้เรื่อง พูดให้เขาฟังก็ไม่ได้เรื่อง มีแต่เยส ๆ โน ๆ โอมายก็อด
พูดไปก็น่าสมเพทตัวเอง เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งไปฝึกถ่ายภาพที่เกาะช้าง จังหวัดตราด ขณะนั่งเรือเฟอร์รี่ส์ข้ามฟากจากแหลมงอบ เขาเห็นผมนั่งซดกาแฟร้อนอย่างเอาจริงเอาจังเพราะความหิว จึงเลื่อนกล่องขนมปัง ที่เขานั่งเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยข้างหน้าเขา มาให้ ผมได้แต่พยักหน้ายิ้มรับ คำขอบคุณจากปากผมสักคำก็ไม่มี เพราะนึกไม่ทันว่าภาษาเขาว่าอะไร
อีกอย่างพวกเขาไม่ค่อยจุกจิกจู้จี้ นึกอยากนั่งนอนตรงไหนก็ได้ บนม้านั่งที่เขามีให้นั่งไม่นั่ง ลงไปนอนพื้นที่วางเท้า เพราะเวลาคลื่นมา เรือโคลง หลับสนิทอย่างไรก็ไม่ตกทะเล เวลากินแทบไม่สนใจ น้ำขวดเดียวที่เสียบไว้ข้างเป้ หรืออย่างมากเบียร์กระป๋องเดียวกล้วยหอมลูกหนึ่งอยู่ได้ครึ่งวัน
เดี่ยวการเดินทาง 2
โดย เณร อยู่นาน
ผมอาบแดดอยู่กับพวกเขานาน จนรู้สึกหิวน้ำ จึงลงไปบาร์ขายเครื่องดื่มชั้นล่าง ซื้อแฮมไก่มากินอันหนึ่ง เติมน้ำดื่มเข้าไปอีกครึ่งขวด แล้วยืนเซไปเซมาคุยกับเด็กบาร์อยู่พักหนึ่ง จึงขึ้นไปยังดาดฟ้าอีก เพราะเรือเริ่มมีอาการกระโจนขึ้นลงเป็นจังหวะแต่ก็ไม่รุนแรงมากนัก เหมือนเป็นสัญญาณเตือนทุกคนบนเรือว่า ณ เวลานี้เราอยู่ในทะเล ไม่ได้อยู่ในอ่างเก็บหรือทะเลสาบ จึงต้องมีคลื่นลมบ้างตามธรรมชาติของทะเล
อยู่บนดาดฟ้าเรือแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ ท่ามกลางแสงแดดอยู่พักหนึ่ง ลืมตาขึ้นมาเริ่มเห็นเงาสีเทาจาง ๆ ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้าไกลออกไป จึงเอากล้องส่องทางไกลที่พกติดตัวส่องดูเห็นชัด ว่านั่นคือเกาะนางยวนทาบทับซ้อนกันอยู่กับเกาะเต่าสวรรค์บนดินที่ใคร ๆ ต้องการจะได้สัมผัสนั่นเอง
ท่านผู้อ่านที่รักคงสงสัยว่าผมรู้ได้อย่างไรว่าเป็นที่ไหน ก็อยากจะขอกราบเรียนว่า ผมเป็นลูกชาวสวนชาวไร่ที่เกิดสมุยเป็นชาวเกาะแท้ ในช่วงปี 2496 ที่มาเรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ ผมเข้ากรุงเทพฯด้วยเรือบรรทุกมะพร้าว ท่องไปท่องมาอยู่ในอ่าวไทยประจำปีละเที่ยวเป็นอย่างต่ำ ดังนั้นในทะเลอ่าวไทยเกาะใหญ่ที่มีชื่อ จึงจำได้ไม่ผิด
เรือลมพระยาใช้สปีดเต็มกำลัง ถาโถมเล่นคลื่นอีกพัก สิ่งที่เห็นจากกล้องส่องทางไกล ทุกคนบนเรือสามารถเห็นได้ด้วยตา ผมจึงยกกล้องคู่มือขึ้นเล็งซูมภาพเกือบเต็มอัตราที่กล้องทำได้ เพื่อเก็บความงดงามของทะเลไว้เป็นที่ระลึก
และอีกไม่นานนัก เรือเริ่มลดความเร็ว โฉบเข้าไปใกล้เกาะนางยวน ผมยืนอยู่บนดาดฟ้า จึงยกกล้องขึ้นเล็ง กดชัตเตอร์อย่างไม่ยั้งมือ เพื่อให้คุ้มกับที่อดออมอยู่หลายมื้อกว่าจะมาถึง และกล้องก็ได้ทำงานคุ่มค่า
เนื่องจากที่เกาะนางยวนไม่มีท่าเทียบ เรือจึงเลยเข้าไปเทียบท่าที่ท่าเรือเกาะเต่าเพื่อให้คนลง ผมสังเกตดูคนแวะลงที่เกาะเต่าเกือบครึ่งลำ นอกจากคนที่มาเที่ยวแล้วยังมีสะเบียงประกอบอาหาร เช่นหมูเห็ดเป็ดไก่ใส่ถุงพลาสติกอีกกองพะเนิน กว่าจะออกเรือได้เกือบครึ่งชั่วโมง ที่เกาะเต่าผมยังมีเพื่อนวัยเดียวกันสมัยเรียนประถมคนหนึ่ง คิดว่าวันหลังจะแวะมาเยี่ยม ถ้าไม่เขาหรือผมไปวัดเสียก่อน
ที่เกาะเต่าผมเก็บภาพประทับใจได้มากมาย ไม่เสียแรงที่เสี่ยงเดินทางมาแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ แถมอยู่ในวัยปริ่ม ๆ น้ำ พร้อมที่จะจมลงเป็นเหยื่อปูปลา
จากเกาะเต่า เรือลมพระยาเจ้าทะเลความเร็วสูง เท่าที่มีบริการอยู่ในขณะนี้ เบนหัวเรือออกทะเลลึกอีกครั้ง ทิ้งเกาะเต่าและเกาะนางยวนไว้เบื้องหลังอย่างไม่อาลัยใยดี บ่ายโฉมหน้าสู่พะงัน หัวเรือแหวกน้ำทะเลสีครามสดสวย เป็นฟองขาวแตกกระจายจนบางครั้งกระเซ็นขึ้นมาถึงดาดฟ้า
ผมถามเด็กบาร์ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรจึงจะถึงเกาะพะงัน เธอบอกว่าขึ้นอยู่สภาพทะเล ถ้าทะเลเรียบประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถ้ามีคลื่นลมแรงก็จะช้าหน่อย เพราะลมและคลื่นจะลดความเร็วเรือไปในตัว
ความจริงสำหรับผมจะถึงเมื่อไรก็ได้ ไม่มีจุดหมายตายตัว หรือนัดแนะกับใครที่ไหน ขอเพียงอย่าต้องลอยคออยู่กลางทะเลก็ใช้ได้
และในที่สุด เมื่อได้เวลาเรือก็เข้าเทียบท่าเกาะพะงัน ซึ่งมีสะพานคอนกรีตยาวยื่นออกไปในทะเล มีเรือทั้งเรือปลาและเรือโดยสารระหว่างเกาะจอดเทียบอยู่เต็มจนมองไม่เห็นสะพาน ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจกับความเจริญรุ่งเรือง ที่น่าจะล้ำหน้าสมุยไปไกล ถ้าเทียบกับที่ผมมาในสมัยยังเป็นเด็ก ต่างกันราวฝ่ามือกับหลังเท้า นักท่องเที่ยวที่เหลือจากเกาะเต่าลงที่นี่เกือบหมด เหลือไปถึงสมุยไม่กี่คน ส่วนมากจะเป็นคนสัญชาติเดียวกับผม
พะงันสมัยก่อนเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อน เป็นเพียงกิ่งอำเภอเล็ก ๆ ผมเคยมาจับปลากับบรรดาเพื่อน ๆ ครั้งหนึ่ง ที่อ่าวโฉลกหลำและติดพายุอดข้าวอยู่ที่นั่น 2 วัน ต้องกินมะพร้าวอ่อนกับปลาเผา แต่ทุกวันนี้แทบไม่มีของเก่าให้เห็น การเดินทางสมัยนั้นใช้เวลายาวนาน ในขณะที่ทุกวันนี้ 20-30 นาทีก็ถึง
หลังจากขึ้นบก ยืนพักบังเงาแดดอยู่ใต้ร่มไม้พอหายเหนื่อย จึงออกเดินลากเป้วนสำรวจในเขตท่าเรือ มองหาห้องน้ำก็ไม่พบ เคว้งคว้างยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี เพราะมีอ่าวที่มีชื่อเสียงเรื่องความสวยงามแทบจะรอบเกาะ
ก็พอดีนึกชื่อเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งได้ ชื่อสมจินต์เขาบอกว่าเขาทำรีสอร์ท อยู่ที่หาดริ้น ความจริงสมจินต์ นอกจากเป็นเพื่อนร่วมเรียนกันมาแล้วยังเป็นญาติอีกชั้นหนึ่ง พี่ชายเขาเคยเป็นครูสอนผม พี่ ๆ เขาทุกคนผมรู้จักและจำชื่อได้หมด นปูเพียงแต่ผมกับเขาไม่พบกันมานาน จนต่างคนต่างอายุเข้าหลัก 7 ถึงนึกได้
นี่แหละครับคือผมล่ะ จะคิดถึงแต่เรื่องของตนเองมาตลอด ต้องจนมุมจึงคิดถึงคนโน้นคนนี้ขึ้นมา
อย่างวันนี้ขณะที่ผมกำลังนั่งคุยอยู่กับศิษย์เวลา 14.37 น. มีคนโทรมาถามว่าคนของเขาหาย 2 วันแล้ว ไปดูหมอมาหมอบอกว่าตายและอยู่ใต้ท้องเรือ ทำเอาผมงง เพราะไม่เคยรู้เรื่องยาม แต่เห็นเป็นเรื่องที่เขาต้องการความช่วยเหลือ จึงโทรไปหาหมอดูที่เก่งเรื่องจับยาม หมอจับยามคนนี้เป็นเพื่อนกัน พอปรึกษาได้ ปรากฏว่าเขาไปพักผ่อนที่ภูเขียว แต่เขาก็มีน้ำใจบอกว่า ยังไม่ตายหรอกเพียงอาการสาหัส รักษาให้เหมือนเดิมยาก ผมจึงถ่ายทอดให้ทราบอีกทีหนึ่ง
ถ้าในมุมมองของโหร ตามเวลาที่เขาโทรมานั้น ผมทำอะไรไม่ได้ ต้องอาศัยคนอื่นช่วย แต่ก็ไม่สะดวกนัก เพราะคนที่จะช่วยได้ อยู่ถึงภูเขียว และต้องโทรถึง 2 ครั้ง
ที่ไม่สามารถช่วยได้เพราะจันทร์ ๒ จร 24.00 น.เวลานั้นอยู่ในเรือนวินาสน์จะเข้าทับลัคนาตอน 20.44 น.ส่วนจันทร์ ๒ รวมทั้งอาทิตย์ ๑ จรแบบ 10ลัคนาก็เข้าเรือนอริพอดีน่าคิดนะครับระหว่างยามกับจันทร์ ๒ จร10ลัคนา
ทีนี้หันมาเรื่องที่ไม่น่าเป็นเรื่องกันต่อ ดังที่ว่าเพื่อนผมเขาทำรีสอร์ทอยู่ที่หาดริ้น แต่ชื่อรีสอร์ทผมจำไม่ได้ เพราะชื่อคล้ายกันมากมาย และในแต่ละอ่าวมีรีสอร์ทเป็น 100 รายละเอียดอื่นที่ผมเคยทราบเมื่อนานมาแล้วก็หายหมด แต่มั่นใจว่าไปถึงคงถามหาจนพบ เพราะโบราณบอกว่าหนทางอยู่ที่ปาก ใช้ปากให้เป็นประโยชน์จะเอาตัวรอดได้ ดูพวกฝรั่งนั่นสิ ส่วนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองไทยอยู่มุมไหนของโลก แต่เขาก็มาที่เกาะเต่าเกาะนางยวนไม่ผิด
แล้วนี่ผม เป็นคนเกาะสมุยเพียว ๆ 100% หาคน ๆ หนึ่งบนเกาะพะงันไม่พบก็ให้มันรู้กันไป
คิดได้ดังนั้น ผมลากเป้ลงจากลานท่าเรือไปที่ลานจอดรถสองแถวแล้วเปลี่ยนสำเนียงพูดใหม่เป็นคนสมุยแท้ ทุกอย่างก็กระจ่างหมด จะเป็นการบังเอิญหรือโชคดีของผมก็ไม่ทราบได้ โชว์เฟอร์รถคันที่ผมถามจะให้ไปส่งที่หาดริ้น เมื่อไล่ชื่อและนามสกุล ก็คือลูกหลานห่าง ๆ ของผมคนหนึ่ง
เมื่อได้รายละเอียดเพิ่ม ผมจึงเร่งให้เขาไปส่ง เขาบอกเขาขอหาฝรั่งอีกสัก 2-3 คน เพื่อจะได้คุ้มทุน ซึ่งผมก็ไม่ว่า ขืนไปคนเดียวต้องจ่ายถึง 450 บาท รอพักหนึ่งเขาก็ได้ลูกค้าฝรั่งสาว 2 คน เมื่อรวมกับผม เราก็จ่ายกันคนละ 150 บาท
รถ 2 แถวส่งผมที่รีสอร์ทหรูแห่งหนึ่ง ด้านหน้าติดถนน ด้านหลังติดทะเล ระหว่างทะเลกับสระน้ำของรีสอร์ท คั่นกลางด้วยหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ ที่หาดนี่เองเป็นที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้ ถือว่าผมโชคดีที่ไปทันงานในคืนสุดท้าย คราวหน้ากะจะไปให้ทันคืนแรก แม้จะลงทุนแพงหน่อย
ในที่สุดผมก็ได้ห้องพักที่พะงันเบย์ชอร์ รีสอร์ท 2 เตียงนอน 2500 พักคนเดียวได้ 2 เตียงถือว่าฟุ่มเฟือยสุด ๆ แต่ไม่มีทางเลือกเพราะมีอยู่ห้องเดียว ดีกว่าไปนอนใต้ต้นหูกวางริมถนน
เมื่อเสียค่าที่พักแพง ผมก็หาทางออกด้วยการกินถูก ๆ หรือไม่ก็กินฟรีไปเลยถ้าใครมาเปิดช่องให้
หลังจากเช็คอินเรียบร้อย อาบน้ำนอนพักพอหายเหนื่อย จึงเดินลัดเลาะไปตามถนนคดเคี้ยวแคบ ๆ ประมาณ 50 เมตรก็พบซันไรส์รีสอร์ท ถามหาเจ้าของซึ่งเป็นหญิงวัย 70 เศษที่เป็นทั้งญาติและเพื่อนผมนั่นเอง
บ้านเขาอยู่ในเขตรีสอร์ท เป็นบ้าน 2 ชั้น 2 ห้องอยู่คนละห้องกับสามี เขาจำผมไม่ได้ แต่ผมจำเขาได้ วันนั้นก็เลยคุยกันนาน ในเรื่องเก่า ๆ สรุปแล้ววันนั้นเขาเชิญผมไปกินข้าวมื้อเย็นพร้อมครอบครัวที่ห้องอาหารในรีสอร์ทนั่นเอง
เห็นไหมครับว่าผมเป็นคนมีลาภปากไม่ค่อยขาด ดาวในดวงชะตาก็คอยเอื้ออำนวยให้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ดูได้จากวันเริ่มเดินทาง คือวันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2554 อาทิตย์ ๑ จรขึ้นทับลัคน์ จันทร์ ๒ จรเข้าเล็งลัคน์ ค้างคืนที่ชุมพร 1 คืน พอวันที่ 19 ออกเดินทางต่อไปพักที่พะงัน จันทร์ ๒ ยังเล็งเหมือนเดิม วันที่ 20 เช้าออกจากหาดริ้นเกาะพะงันไปสมุย
จันทร์ ๒ จรเข้าเรือนมรณะตั้งแต่ตี 5 พอลงเรือฝรั่งเห็นเป็นคนแก่จึงขยับที่ให้นั่ง ต้องนั่งตากแดดจนถึงสมุย ราว 45 นาที ขึ้นเรือที่เกาะฟานหรือท่าเรือพระใหญ่ ไม่มีรถสองแถวจะไปหน้าทอน ต้องจ้างแท็กซี่ 400 ถ้วนไม่หย่อนแม้แต่บาทเดียว คิดในใจว่ารู้อย่างนี้แบกเต็นท์มาด้วยก็จะดี จะได้กางนอนริมถนนแม่งเลย
พักที่สมุย 4 คืนเพื่อเก็บภาพสถานที่ๆ ในสมัยเด็กเคยไปวิ่งเล่นจนคุ้นเคย ที่ขาดไม่ได้คือดักถ่ายอาทิตย์ตกน้ำไว้หลายสิบภาพ วางแผนว่าวันจันทร์ที่ 25 จึงค่อยเดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยเส้นทางสายเดิม คือขึ้นเรือลมพระยาที่สมุยผ่านพะงันผ่านเกาะเต่าเข้าชุมพร นั่งรถวีไอพี.เข้าถนนข้าวสาร
ก็พอดีมีศิษย์ที่สุราษฎร์โทรเข้ามา เลยต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ไปสุราษฎร์แล้วขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ
ที่สุราษฎร์หรือที่บ้านดอน ผมมีศิษย์ 4 คน อยู่ในตัวเมือง 3 ที่อำเภอนาสาน 1 แต่วันนั้นได้พบเพียง 2 คนอีก 2 คนติดต่อไม่ได้ มีประหลาดอยู่คนหนึ่ง เรียนทาง ปณ.มาตั้งแต่ปี 2540 ไม่เคยเห็นหน้ากันเลย เพิ่งมาพบกันปี 2554
ผมออกจากเกาะสมุยขึ้นเรือเฟอร์รี่ส์เข้าดอนสักเที่ยวเช้า จับรถทัวร์เข้าเมือง นัดศิษย์มารับที่ศาลหลักเมือง เข้าพักที่แก้วสมุยรีสอร์ท โดยการอนุเคราะห์จากศิษย์ ทั้งที่พัก ค่าอาหาร และค่าเครื่องบินกลับ แถมด้วยโปรโมชั่นพิเศษพอกเก็ตมันนี่อีก 5000
ที่ลืมไม่ได้และเป็นที่ถูกใจผมที่สุด คือมื้อค่ำและมื้อดึกที่สุราษฎร์ มื้อค่ำไปกินอาหารทะเลที่ร้านดังปากน้ำตาปี ที่ประทับใจคือกั้งเผา ปลาเผาแกล้มแบล๊กเลเบิ้ล พอรอบดึกไปจิบไวน์ฟังเพลงร้านดังของนักการเมืองที่นั่น ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำตาปีจนร้านปิด
เช้าขึ้นมาไปชิมอาหารแขก พอบ่ายไปกินฉลามผัดฉ่าล้างแค้นแก่คนที่เคยถูกฉลามกัด ในคลองบางใบไม้ เป็นมื้ออำลาขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ
เกือบตลอดการเดินทาง ดาวจันทร์ ๒ จรเป็นตัวชี้นำว่าดีหรือไม่ดี สะดวกหรือไม่สะดวก มีลาภหรือขัดลาภ ศิษย์ของผมคนที่เป็นเจ้าภาพหลัก ลัคนาราศีเดียวกันคือราศีเมษ ถ้าดวงผมดี ดวงเขาก็ดี
ดังนั้นระหว่างโซ้ยฉลามผัดฉ่ามื้อสุดท้ายขณะที่จันทร์ ๒ จรเข้าราศีมังกรเป็น 10 แก่ลัคนา ได้เกณฑ์ปัศว เขาขายบ้านเงินสดราคา 2 ล้านได้ ในระหว่างที่ขับรถให้ผมไป เก็บของเตรียมไปขึ้นเครื่อง เพราะเขาคือสุภาพสตรีเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรที่มีชื่อของสุราษฎร์เมืองคนดี